ข้อมูลเศรษฐกิจญี่ปุ่น


สถานการณ์เศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงเดือน ต.ค. - ธ.ค. 2557

26/02/2015

1. สภาวะ ศก.ญี่ปุ่น ล่าสุด

1.1    เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2558 สนง.ครม.ญี่ปุ่น ได้ประกาศอัตราการเติบโตของ Real GDP ญี่ปุ่น ประจำงวดเดือน ต.ค. - ธ.ค. 2557 (ตัวเลขเบื้องต้น) ว่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 QoQ และเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 YoY โดยเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาส และเป็นไตรมาสแรกหลังจากที่ปรับเพิ่มอัตราภาษีผู้บริโภคเป็นร้อยละ 8 เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2557 โดยปัจจัยหลักที่ผลักดันการเติบโต ได้แก่ การส่งออก ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 QoQ โดยเฉพาะการส่งออกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเคมีภัณฑ์ไปยังสหรัฐฯ และจีน (การนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 QoQ) การบริโภคส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 QoQ และการลงทุนภาครัฐที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 QoQ อย่างไรก็ดี การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1 QoQ และการลงทุนในที่พักอาศัยลดลงร้อยละ 1.2 QoQ ตามเอกสารแนบ 1 นายโยชิฮิเดะ สึกะ ลขธ.ครม. แถลงเกี่ยวกับอัตราการเติบโตของ Real GDP ดังกล่าวว่า การบริโภคส่วนบุคคลยังเพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำ และรายได้ภาคครัวเรือนยังเพิ่มขึ้นไม่เท่ากับอัตราราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการบริโภคของผู้บริโภคยังอยู่ในระดับที่ต่ำ ในขณะที่ นายอะกิระ อะมะริ รมว.ดูแลด้าน ศก.การคลังและการฟื้นฟู ศก. แถลงว่า การบริโภคส่วนบุคคลและการส่งออกผลักดันการเติบโตในงวดนี้ โดยคาดว่า ต่อจากนี้ไป ศก.ญี่ปุ่นน่าจะดีขึ้นตามลำดับโดยได้รับการผลักดันจากอุปสงค์ในประเทศซึ่งมีพื้นฐานแข็งแกร่ง และการเพิ่มขึ้นของเงินเดือนจากผลกำไรของบริษัทในญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นักเศรษฐศาสตร์มองว่า Real GDP งวดเดือน ต.ค. - ธ.ค. 2557 ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโต 0.9 QoQ และ 3.8 YoY โดยมูลค่า Real GDP ประจำงวดดังกล่าวซึ่งอยู่ที่ 525.8 ล้านล้านเยน ต่ำกว่ามูลค่าหลังการปรับขึ้นอัตราภาษีผู้บริโภคในงวดเดือน เม.ย. - มิ.ย. 2557 ซึ่งอยู่ที่ 525.9 ล้านล้านเยน แสดงให้เห็นว่า ศก.ญี่ปุ่น ยังไม่ฟื้นตัวจากผลกระทบในเชิงลบหลังการปรับขึ้นอัตราภาษีผู้บริโภคอย่างแท้จริง โดยการบริโภคส่วนบุคคลยังเติบโตในระดับที่ต่ำมาก อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่ช่วยผลักดันการเติบโตในช่วงที่ผ่านมาและในอนาคตคือการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติในญี่ปุ่น ซึ่งมูลค่าการบริโภคในญี่ปุ่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 11.3 QoQ ซึ่งหาก รบ.ญี่ปุ่นสามารถบรรลุเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในญี่ปุ่น 20 ล้านคน ในปี 2563 จากระดับ 13 ล้านคนในปี 2557 ได้จริง ก็จะช่วยผลักดัน ศก.ญี่ปุ่นได้มากในอนาคต
1.2    สนง.ครม.ญี่ปุ่น ได้ประกาศอัตราการเติบโตของ Real GDP ญี่ปุ่นประจำปี 2557 ด้วยว่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.04 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการลดลงของการบริโภคส่วนบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มอัตราภาษีผู้บริโภค แต่มีการลงทุนภาครัฐเป็นปัจจัยผลักดันการเติบโต ตามเอกสารแนบ 2 ทั้งนี้ สถาบันวิจัยด้าน ศก. ต่าง ๆ ของญี่ปุ่นคาดว่า Real GDP ญี่ปุ่นงวดเดือน ม.ค. - มี.ค. 2558 จะเติบโตร้อยละ 2.3 YoY ต่อเนื่องจากงวดเดือน ต.ค. - ธ.ค. 2557 และ Real GDP ประจำปีงบประมาณ 2558 (เม.ย. 2558 - มี.ค. 2559) จะเติบโตร้อยละ 1.7 ซึ่งฟื้นตัวจากปีงบประมาณ 2557 ที่ลดลงร้อยละ 0.9 แต่สูงกว่าที่ รบ.ญี่ปุ่นประมาณการณ์ว่าจะเติบโตร้อยละ 1.5
1.3    เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2558 สนง.ครม.ญี่ปุ่น ประกาศสภาวะ ศก.ญี่ปุ่นประจำเดือน ม.ค. 2558 ว่าอยู่ในภาวะ "อยู่ในแนวโน้มที่ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยแม้ว่าการบริโภคส่วนบุคคลยังอ่อนแออยู่" ซึ่งเป็นระดับเดียวกับเมื่อเดือน พ.ย. และ ธ.ค. 2557 และมองว่าในระยะต่อไป ศก.ญี่ปุ่นน่าจะฟื้นตัวขึ้นช้า ๆ จากสถานการณ์เงินเดือนที่จะปรับเพิ่มขึ้น และจะได้รับผลดีจากการลดลงของราคาน้ำมันดิบที่จะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของภาคเอกชนลดลง
1.4    เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2558 ก.กิจการภายในญี่ปุ่น ประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ประจำปี 2557 อยู่ที่ 102.7 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 จากปีก่อน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 2 ปี โดยได้รับผลดีจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีผู้บริโภคเมื่อเดือน เม.ย. 2557 แต่หากไม่นำผลกระทบจากอัตราภาษีผู้บริโภคมาคำนวณ CPI เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 อย่างไรก็ดี การลดลงของราคาน้ำมันดิบจะเป็นปัจจัยลบที่กดดันการเพิ่มขึ้นของ CPI ในระยะต่อไป เห็นได้จาก CPI ประจำเดือน ธ.ค. 2557 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 YoY ซึ่งแม้จะเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 19 แต่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือน พ.ย. 2557 ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 YoY
1.5    เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2558 ก.กิจการภายในญี่ปุ่น ประกาศอัตราการว่างงานญี่ปุ่นประจำเดือน ธ.ค. 2557 อยู่ที่ร้อยละ 3.4 ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 17 ปี 4 เดือน เนื่องจากมีการจ้างงานที่มากขึ้นในอุตสาหกรรมการค้าส่ง ค้าปลีก การแพทย์และสาธารณสุข โดยมีจำนวนแรงงาน 56.46 ล้านคน ซึ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยคาดว่า สภาวะการจ้างงานน่าจะดีขึ้นต่อไปตามลำดับ ทั้งนี้ จำนวนแรงงานเพศหญิงอยู่ที่ 27.63 ล้านคน ซึ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมใน ศก. ของเพศหญิงมากขึ้นตามนโยบาย Abenomics
1.6    เมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2558 ก.คลังญี่ปุ่นประกาศดุลการชำระเงินของญี่ปุ่นประจำปี 2557 ว่าเกินดุลที่ 2.6266 ลัานล้านเยน ลดลงร้อยละ 18.8 จากปีก่อน และถือเป็นการเกินดุลที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากดุลการค้าระหว่างประเทศขาดดุลมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยดุลการชำระเงินเกินดุลลดลงอย่างต่อเนื่อง 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งเกิดเหตุภัยพิบัติที่เขตโตโฮกุและเกิดอุบัติเหตุที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุคุชิมะไดอิจิ ทำให้ญี่ปุ่นนำเข้าก๊าซ LNG สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนแทนพลังงานนิวเคลียร์มากขึ้น โดยมีมูลค่านำเข้ารวม 84.4862 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.2 ขณะที่การส่งออกมีมูลค่า 74.1225 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 โดยเฉพาะการส่งออกรถยนต์และผลิตภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์

2. นโยบายด้าน ศก.ของ รบ.ญี่ปุ่น ที่สำคัญ

2.1    เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2558 นรม. อาเบะ ได้แถลงนโยบายด้านเศรษฐกิจในที่ประชุม ส.ส. สมัยสามัญโดยเน้นเกี่ยวกับนโยบายการฟื้นฟู ศก. การสร้างความแข็งแกร่งของนโยบายการคลัง การดำเนินการตามยุทธศาสตร์การเติบโต (Growth Startegy) การปฏิรูปด้านการเกษตรครั้งใหญ่ที่สุด การส่งเสริมกิจกรรมด้านสตรี และการฟื้นฟูท้องถิ่น เพื่อให้สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้มากขึ้น โดยเชื่อมั่นว่านโยบาย Abenomics กำลังสร้างผลงานอย่างต่อเนื่องและจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีสาระสำคัญตามเอกสารแนบ 3
2.2    เกี่ยวกับการฟื้นฟูท้องถิ่น รบ.ญี่ปุ่นอยู่ระหว่างการร่างแผนการฟื้นฟูท้องถิ่นประจำปีงบประมาณ 2559 ให้แล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย. 2558 โดยจะจัดตั้งสำนักงานฟื้นฟูเมือง คนและงาน ให้เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการเรื่องนี้ในต้นเดือน มี.ค. 2558 และจะเชิญผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ในสาขาต่าง ๆ ที่สำคัญ เช่น การท่องเที่ยว เกษตรกรรม การเงิน และการแพทย์
2.3    เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2558 นรม.ญี่ปุ่น กล่าวในที่ประชุม ส.ส. ว่า รบ.ญี่ปุ่น ยังรักษาเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อไว้ที่ร้อยละ 2 อยู่ต่อไป โดยคาดหวังให้ธนาคารชาติญี่ปุ่น (BOJ) ใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินที่เหมาะสม กับสภาพของตลาดการเงิน ซึ่งที่ผ่านมา BOJ ได้ดำเนินมาตรการทางการเงินอย่างแข็งขันและประสบความสำเร็จจนทำให้ญี่ปุ่นเริ่มหลุดพ้นจากภาวะเงินฝืดและสร้างวงจรทาง ศก. ในเชิงบวกได้
2.4    เกี่ยวกับเป้าหมายการทำให้ดุลการคลังเบื้องต้นภาคสาธารณะ (Primary Balance) เกินดุลให้ได้ภายในปีงบประมาณ 2563 ของ รบ.ญี่ปุ่น จากปัจจุบันที่ขาดดุลถึงร้อยละ 3.3 ของมูลค่า GDP เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2558 ได้มีการประชุมคณะที่ปรึกษาด้าน ศก.และการคลัง โดยมี คกก.จากภาคเอกชนญี่ปุ่น อาทิ ประธานเคดันเรนเข้าร่วมด้วย โดยมีสาระสำคัญ คือ แม้ Real GDP สามารถเติบโตได้ร้อยละ 2 ต่อปีจนถึงปี 2563 ตามเป้าหมาย แต่ Primary Balance อาจยังขาดดุลประมาณ 9.4 ล้านล้านเยน จึงอาจจำเป็นต้อง (1) ลดค่าใช้จ่ายด้านการประกันสังคมประมาณ 5.5 ล้านล้านเยน โดยเฉพาะการลดค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์ เช่น ลดจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารักษาใน รพ. โดยการพัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์ยาให้มากขึ้น และการเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการพยาบาล (2) หลังจากการปรับขึ้นอัตราภาษีผู้บริโภคเป็นร้อยละ 10 ในเดือน เม.ย. 2560 อาจมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราภาษีผู้บริโภคอีกประมาณร้อยละ 2 เป็นประมาณร้อยละ 12 เพื่อให้ดุลการคลังของ รบ.กลางและ รบ.ท้องถิ่นเกินดุล ซึ่งการเพิ่มอัตราภาษีผู้บริโภคทุก ๆ ร้อยละ 1 จะทำให้เพิ่มรายรับด้านภาษีได้ 2 - 3 ล้านล้านเยน ซึ่งผลดังกล่าวจะถูกนำเสนอในที่ประชุม ครม. ญี่ปุ่น เพื่อหามาตรการที่เหมาะสมต่อไป

3. ข้อคิดเห็นของ สอท.

ศก.ญี่ปุ่น มีแนวโน้มที่ค่อย ๆ ดีขึ้น ภายหลังที่ได้รับผลกระทบในเชิงลบที่มากกว่าคาดหลังจากการปรับขึ้นอัตราภาษีผู้บริโภคจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 8 เมื่อเดือน เม.ย. 2557 เห็นได้จากตัวเลขทาง ศก. ที่สำคัญในเชิงบวกแทบทั้งสิ้น แม้จะยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ โดยปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะสามารถสร้างวงจรทาง ศก. เชิงบวกให้ได้ในระยะยาว ได้แก่ การเพิ่มเงินเดือนของภาคเอกชน ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญทำให้บริโภคส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น โดยนักเศรษฐศาสตร์ญี่ปุ่นมองว่า ในช่วงนี้มีปัจจัยสนับสนุนให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้ง่าย ได้แก่ การอ่อนค่าของเงินเยน ซึ่งจะทำให้ภาคเอกชนส่งออกสินค้าได้มากขึ้น และราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ซึ่งทำให้ภาคเอกชนมีค่าใช้จ่ายในการนำเข้าสินค้าที่ลดลง ซึ่งจะนำไปสู่การขยายการลงทุนภาคเอกชน และจะนำไปสู่การเพิ่มเงินเดือน ซึ่งจะทำให้การบริโภคส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น และนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของรายได้และกำไรของภาคเอกชนต่อไป และมีค่าใช้จ่ายในการนำเข้าสินค้าที่ลดลงจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง



Back to the list